มีอะไรบ้างใน Assassin’s creed Mirage

เข้าสู่ปี 2023 แล้ว ซึ่งเป็นปีที่ Ubisoft ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมีเกม Assassin’s creed Mirage ออกมาในปีนี้ เจ้าของบล็อกจึงขอสรุปข้อมูลจาก Games Rader เกี่ยวกับสิ่งที่ Ubisoft ได้เปิดเผยให้เรารู้เกี่ยวกับภาค Mirage กันค่ะ

ก่อนอื่นเลยภาคนี้ Ubisoft ได้บอกเราอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่ใช่แนว action-RPG เหมือนหลาย ๆ ภาคก่อนหน้านี้ แต่จะเป็นแนวที่เน้นต่อสู้แบบลอบเร้นเป็นหลักตามแบบฉบับของเกมภาคแรก ๆ อย่างไรก็ตามภาคนี้จะยังคงเป็น Open world อยู่เหมือนที่ผ่านมา เพียงแต่จะเน้นการลอบสังหาร การวิ่งแบบ Parkour มากขึ้น เป็นการเติมเต็มช่องโหว่ใน Time Line ของเนื้อเรื่อง Assassin’s creed

Assassin’s creed Mirage คืออะไร

ภาคนี้จะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของซีรีย์ กลับไปยังการผจญภัยในแบบของ Altair และ Ezio โดยภาคนี้จะมีเนื้อเรื่องอยู่ที่กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของ Basim ก่อนจะมาปรากฏตัวในภาค Vallaha ประมาณ 20 กว่าปีก่อน อยู่ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 9 ช่วงยุคทอง เริ่มต้นประมาณ ปี 861 โดยผู้กำกับศิลป์ของภาคนี้ คุณ Jean-Luc Sala กล่าวว่าในช่วงเวลานี้แบกแดดเป็นเมืองที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของโลก “เป็นสถานที่สำคัญ เป็นแหล่งองค์ความรู้ ศิลปะ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ การค้าขาย และอำนาจ” ก่อนที่จะถูกทำลายลงในอีก 5 ศตวรรษให้หลัง ทาง Ubisfot จึงต้องศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์ และเมืองอื่น ๆ ในเวลานั้น เพื่อสร้างกรุงแบกแดดขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ขนาดของ Mirage

ขนาดของแผนที่ในเกมภาคนี้จะเล็กกว่าภาค Valhalla , Odyssey และ Origins โดยจะแบ่งออกเป็น 4 เขตย่อย ๆ ที่แตกต่างกัน เช่น เขตอุตสาหกรรม Karhk และสวนวงกลมเขียวชอุ่มแห่งแบกแดด (Round city) ซึ่งเมืองนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ “พร้อมจะแสดงปฏิกิริยาต่อทุกการเคลื่อนไหวของเรา” นอกจากนี้ เราจะยังได้พบกับป้อม Alamut ที่อยู่นอกเมือง ซึ่งถือเป็นบ้านของเหล่ามือสังหาร เป็นรากฐานของภาคีนักฆ่าจวบจนทุกวันนี้

ระบบการเล่น

ระบบการเล่นจะกลับไปเป็นรูปแบบของภาคแรก ๆ ใช้การอำพรางตัวตนในสังคม การวิ่งหลบสิ่งกีดขวางที่รวดเร็ว การลอบสังหารที่ว่องไว Ubisoft ระบุว่า ในภาค Mirage จะแฝงถึงความเป็น Assassin’s creed ของทุก ๆ ภาคเอาไว้เล็กน้อย ผู้เล่นสามารถเล่นในรูปแบบที่เป็นรากเหง้าของซีรีย์ได้ในขณะเดียวกันก็จะได้รับประสบการณ์ที่ทันสมัยที่ยังคงสอดแทรกคุณสมบัติอันโดดเด่นของภาคแรก ๆ

ภาคนี้จะเน้นการเร้นกายมากกว่าภาคที่ผ่านมา โครงสร้างจะยังคงเป็นวงจรเดิมคือ “ตามหาตัว ไล่ล่า และกำจัดศัตรู จากนั้นก็อันตรธานหายไป” โดย Ubisoft ได้นำเอาระบบตรวจจับ (Detection system) กลับมาทำใหม่ เพื่อให้ดูจริงจังมากขึ้น และด้วยการออกแบบโครงสร้างของเมือง (และหลังคาของบ้านเรือน) จะทำให้ผู้เล่นสามารถลอบเข้าหาเป้าหมายได้ดีขึ้น และยังมีการใส่อุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่ใช้สำหรับต่อสู้และหลบหนี เช่น ทุ่นระเบิดที่สามารถปล่อยควันเมื่อถูกกระตุ้นและลูกดอก

การวิ่ง Parkour ก็เป็นบทบาทสำคัญในภาคนี้ เช่นเดียวกับ 2 ภาคแรก มีการปีนป่ายตามสิ่งปลูกสร้าง การกระโดดข้ามหลังคา ซึ่งซ้อนกันอยู่อย่างหนาแน่นหลายชั้นในเมืองแบกแดด ทำให้เราสามารถสำรวจเส้นทางและพื้นที่ได้ โดย Ubisoft ให้คำมั่นว่า ระบบ Parkour ภาคนี้จะทำให้ผู้เล่นสัมผัสได้ว่าดีกว่าที่ผ่านมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้เล่นจะสามารถ Parkour ได้รวดเร็วและทรงพลัง และยังมีท่วงท่าบางอย่างอันเป็นสัญลักษณ์ของเกมใส่มาด้วย

สำหรับการลอบสังหาร ซึ่งถือเป็นส่วนที่ภาคนี้ให้ความสำคัญ จะปรากฏเหตุการณ์ให้เข้าไปลอบสังหารเป้าหมายขึ้น โดย Ubisoft เรียกสิ่งนี้ว่า “ภารกิจกล่องดำ” (Black box missions) ซึ่งจะถูกวางไว้ในแต่ละเขตพื้นที่ของกรุงแบกแดด ให้เราได้เลือกเส้นทางเพื่อเข้าไปหาเป้าหมายได้อย่างเสรี เช่น แฝงไปกับฝูงชน และเฝ้าสะกดรอยจากหลังคา นอกจากนี้ ในภาคนี้ยังมีการใส่ท่วงท่าใหม่ ๆ เข้าไป มีเครื่องมือใหม่ ๆ และยังให้เราวางกับดักภายในสิ่งแวดล้อมได้ อีกทั้งยังมีคุณลักษณ์ใหม่ ๆ ที่ฟังดูคล้ายกับระบบเลือกเป้าหมายเพื่อสังหาร (Mark and Execute) ซึ่งมีอยู่ใน Tom Clancy’s Splinter Cell ภาค Conviction ทำให้ Basim สามารถลอบสังหารได้หลายคนในเวลาเดียวกัน

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องภาคนี้จะเป็นเส้นตรงมากกว่าภาคก่อนหน้า ผู้กำกับบท คุณ Sarah Beaulieu กล่าวว่า โครงสร้างของบทสนทนาจะใกล้เคียงกับ Assassin’s creed ภาคแรก ทำให้ผู้เล่นจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินเป็นเส้นตรงมากกว่าภาคที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีอิสระในการออกสำรวจและทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เลือกรับคำสั่งในการทำภารกิจได้ โดยในภาคนี้จะมีเรื่องเล่าที่ค่อนข้างเข้มข้นและหนักแน่น ทำให้มีจุดเริ่มและจุดจบของเรื่องที่ชัดเจน

ตัวละครเอกในภาค Mirage คือ Basim Ibn Is’haq ซึ่งเป็นตัวละครที่อันตรายในภาค Valhalla โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้จะเล่าถึง 20 ปี ก่อนหน้าภาค Valhalla ตั้งแต่สมัยที่ Basim ยังอยู่ข้างถนนจนกระทั่งกลายเป็นมือสังหารที่ช่ำชอง (Master Assassin) และส่วนหนึ่งของการเดินทางในครั้งนี้ เราจะได้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Hidden Ones และวิวัฒนาการขององค์กรเก่าแก่ที่ถูกค้นพบโดย Aya และ Bayek ใน Assassin’s creed Origins

ที่มา : Games Radar

Leave a comment