ต่อจากบทความครั้งก่อนนะคะ อ่านบทความก่อนหน้าได้ที่ Edward “Blackbeard” Thatch โจรสลัดเคราดำ ตอนที่ 1
เรือ Queen Anne’s Revenge
วันที่ 28 พฤศจิกายน Thatch ใช้เรือของเขาทั้ง 2 ลำเข้าโจมตีเรือสินค้าสัญชาติฝรั่งเศสนอกชายฝั่ง Saint Vincent เรือทั้งสองลำยิงปืนใหญ่โจมตีเรือฝรั่งเศสจากด้านข้าง ลูกเรือจำนวนมากถูกฆ่าตาย ทำให้กัปตันของเรือต้องยอมจำนน เรือลำนั้นคือเรือ La Concorde มาจาก Saint Malo เป็นเรือสัญชาติฝรั่งเศสขนาดใหญ่บรรทุกทาสมาจำนวนมาก Thatch และลูกเรือจึงนำเรือล่องลงใต้ไปตามชายฝั่ง ประเทศ Saint Vincent และ Grenadines ไปนจนถึง Bequia พวกเขาจึงนำเอาลูกเรือและคลังสินค้าของเรือ La Concorde ลงที่นั่นและดัดแปลงเรือลำนี้ให้เป็นเรือสำหรับโจรสลัด โดยลูกเรือของ La Concorde ถูกแบ่งไปอยู่ที่เรือ sloop ทั้งสองลำของ Thatch แทน พวกลูกเรือชาวฝรั่งเศสที่ถูกแบ่งมาจากเรือ La Concoard ได้เปลี่ยนชื่อเรือ sloop ของ Thatch เป็น Mauvaise Reconte (แปลว่า Bad Meeting) จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยัง Martinique มีความเป็นไปได้ว่า Thatch อาจจะว่าจ้างพวกทาสบางส่วนให้มาทำงานในเรือของเขา และทิ้งทาสที่เหลือให้อยู่บนเกาะนั้นต่อไป

Image : Assassin’s creed Tumblr
เมื่อได้เรือ La Concored มา Edward Thatch ก็ทำการเปลี่ยนชื่อเรือเป็น Queen Anne’s Revenge ทันที และปรับให้เรือมีปืนใหญ่ถึง 40 กระบอก เดือนพฤศจิกายน ที่ใกล้ ๆ กับชายฝั่ง Saint Vincent เขาก็เข้าโจมตีเรือ Great Allen หลังการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ เขาก็บังคับให้เรือสินค้าลำนี้ยอมจำนนเสีย เขาบังคับให้เรือไปจอดใกล้ ๆ กับฝั่ง และให้ลูกเรือลำนี้สละเรือและทำการขนของออกจากคลังสินค้าเรือไปจนเกลี้ยง หลังจากนั้นก็เผาและจมเรือลำนี้ทิ้ง เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ผ่านจดหมายแจ้งข่าวของ Boston ในจดหมายเขียนว่า “Thatch เป็นผู้บัญชาการเรือปืนใหญ่ฝรั่งเศส มีปืนใหญ่ 32 กระบอก และมีเรือ Brigantine อีกหนึ่งลำที่มีปืนใหญ่ 10 กระบอก พร้อมด้วยเรือ sloop หนึ่งลำมีปืนใหญ่ 12 กระบอก” ส่วนที่ว่า Thatch ไปได้เรือปืนใหญ่ 10 กระบอกมาตอนไหนและที่ใดนั้นไม่มีใครรู้ แต่ว่าในเวลานั้นอาจเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีลูกเรือใต้บัญชาการถึง 150 คนเข้าไปแล้วและแบ่งกระจายไปประจำการบนเรือทั้ง 3 ลำนั้น
วันที่ 5 ธันวาคม 1717 Thatch ได้ยึดเรือสินค้าประเภท sloop ลำหนึ่งชื่อว่าเรือ Magaret นอกชายฝั่งเกาะ Crab ใกล้ ๆ กับประเทศ Anguilla กัปตันของเรือนามว่า Henry Bostock และลูกเรือถูกจับเป็นตัวประกันนาน 8 ชั่วโมง พวกเขาถูกบังคับให้ต้องทนดูเรือของพวกเขาถูกค้นข้าวของกระจุยกระจาย Bostock ถูกจับกุมตัวเอาไว้ที่เรือ Queen Anne’s Revenge เขาถูกปล่อยตัวกลับไปโดยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ แล้วได้รับอนุญาตให้พาลูกเรือไปต่อได้ เขากลับไปยังศูนย์บัญชาการที่เกาะ Saint Christopher และรายงานต่อผู้ว่าการ Walter Hamilton โดยทำการร้องขอต่อท่านผู้ว่าการว่าจะเขียนคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ในคำให้การของ Bostock ระบุว่า Thatch มีเรือใต้บัญชาการอยู่ 2 ลำ เป็นเรือรบฝรั่งเศสลำใหญ่ 1 ลำ ประกอบไปด้วยปืนใหญ่ 36 กระบอก และเรือ sloop อีก 1 ลำ มีลูกเรือประจำการ 300 คน โดย Cpt.Bostock เชื่อว่าบนเรือลำใหญ่น่าจะมีของมีค่าอย่างเช่น ทองคำ เครื่องเงิน และถ้วยชาทำจากโลหะมีค่า ซึ่งได้มาจากการปล้นเรือ Great Allen
ลูกเรือของ Thatch ได้บอกกับ Bostock ว่าพวกเขาจมเรือสินค้ามาแล้วหลายลำและมีเป้าหมายจะเดินเรือไปยัง Hispaniola เพื่อรอให้มีเรือรบสเปนแล่นผ่านมาสักลำ คาดว่าเรือนั่นน่าจะมีเงินจำนวนมากเพื่อให้ใช้จ่ายได้อย่างสำราญ นอกจากนี้ Bostock ยังบอกอีกด้วยว่า Thatch ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องการเคลื่อนไหวของเรือท้องถิ่นว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง แต่ Thatch ดูจะไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ยินคำตอบของ Bostock ที่พูดถึงการพระราชทานอภัยโทษให้กับเหล่าโจรสลัดทั้งหมดจากองค์กษัตริย์
ลักษณะภายนอกของ Blackbeard
ในคำให้การของ Bostock บรรยายเกี่ยวกับลักษณะของ Edward Thatch ไว้ว่า “ชายร่างสูงโปร่ง มีเครายาวสีดำ” นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีบันทึกเกี่ยวกับรูปร่างลักษณะของ Thatch และทำให้เขาเป็นที่รู้จักในนาม Blackbeard ภายหลังได้มีบันทึกเพิ่มเติมว่าเคราดำยาวของเขาถูกถักเป็นเปีย บางเปียถูกพันด้วยผ้าสี
นอกจากนี้ยังมีบันทึกของ Johnson ที่บรรยายลักษณะของ Blackbeard ไว้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่อาจบ่งบอกได้ว่าแท้จริงแล้ว Blackbeard ดูเป็นคนน่ากลัวอย่างที่เคยมีในบันทึกมาก่อนหรือไม่ และไม่อาจทราบได้เช่นกันว่าในบันทึกของ Johnson นั้นเป็นความจริงหรือแต่งเติมขึ้นในภายหลัง แต่ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะทำให้ศัตรูเกรงกลัวได้มากกว่าการพูดข่มขู่เสียอีก นอกจากนี้บันทึกของ Johnson ยังบอกด้วยว่า Edward Thatch เป็นชายร่างยักษ์ ไหล่กว้าง นัยน์ตาดุ เสียงดังน่ากลัว

เขาสวมรองเท้าบูธยาวถึงเข่า สวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกปีกกว้าง บางครั้งก็สวมเสื้อผ้าไหมสีอ่อนหรือเสื้อกำมะหยี่ บันทึกของ Johnson ยังบอกอีกด้วยว่า ในเวลาออกศึก Thatch มีสายสะพายพาดด้วยปืนพก 6 กระบอกบนหน้าอก และจุดไฟเอาไว้ใต้หมวกของเขา เพื่อเป็นการข่มขู่ศัตรูให้กลัว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะดูน่ากลัวแต่ก็ไม่มีรายงานว่าเขาทำร้ายหรือฆ่าตัวประกันที่เขาจับกุมได้เลย บางครั้ง Thatch ก็จะใช้ชื่อปลอมในการเข้าโจมตีเรือศัตรู อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน เขาโจมตีเรือเรือสินค้า Monserrat โดยใช้ชื่อปลอมเรียกตัวเองว่า Cpt. Kentish และ Cpt. Edwards (เรือลำหลังเป็นชื่อปลอมของ Stede Bonnet) เป็นการยืนยันได้ว่าเขาเคยใช้ชื่อปลอมในการออกปล้นเรือจริง ๆ
มีเรื่องเล่าว่า เขาชอบดื่มเหล้าในตอนกลางคืน และชอบเอาดินปืนใส่ลงไปในเหล้า จุดไฟเผาก่อนมันจะจมลงไปในแก้ว คืนหนึ่งเขาเผลอไปดับไฟเทียนเข้า และชักเอาปืนพกสองกระบอกออกมายิงสุ่มไปทั่ว ทำให้กระสุนไปถูกคนเดินเรือของเขานามว่า Israel Hands ที่หัวเข่า
การขยายกองเรือของ Thatch
การเคลื่อนไหวของเขาในช่วงปี 1717 และ 1718 ไม่มีบันทึกแน่ชัด บางทีเขาและ Bonnet อาจจะกำลังต่อสู้อยู่นอกชายฝั่งประเทศ Saint Eustatius ก็ได้ มีรายงานจาก Cpt.Hume ผู้บัญชาการเรือรบหลวง HMS Scarborough รายงานว่า วันที่ 6 กุมภาพันธ์เขาพบเรือโจรสลัดติดอาวุธปืนใหญ่ 36 กระบอก ลูกเรือ 250 คน และเรือ sloop ติดอาวุธปืนใหญ่ 10 กระบอกและลูกเรืออีก 100 คนกำลังลอยลำอยู่ในหมู่เกาะ Leeward เขาและลูกเรือของเขาพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธจึงตามไปเป็นกำลังเสริมให้กับเรือ HMS Seaford ในการติดตามเรือทั้งสองลำนั้น จนกว่าจะพ้นจากสายตาไป แม้ว่าพวกเขาจะเห็นว่าเรือสองลำนั้นทำการจมเรือสัญชาติฝรั่งเศสแถบนอกชายฝั่งเกาะ St.Christopher ก็ตาม และมีรายงานอีกว่าเรือทั้งสองลำนั้นมุ่งหน้าไปสู่ทางตอนเหนือของ Hispaniola เป็นการยืนยันได้ว่าเรือทั้งสองลำนั้นเป็นของ Thatch และ Bonnet
ในเดือนมีนาคม 1718 ทั้งสองก็ได้มาพบกับเรือ Adventure ที่ลอยลำอยู่ในแถบ Jamaica กัปตันของเรือ David Harriot จึงถูกชักชวนให้เข้าร่วมเป็นโจรสลัด ซีึ่ง Harriot และลูกเรือตอบตกลง พวกเขาจึงล่องเรือต่อไปยังอ่าว Hoduras ที่ซึ่งทำให้พวกเขาได้เรือมาร่วมในกองเรืออีก 4 ลำ วันที่ 9 เมษายน Thatch ได้ออกปล้นเรือ Protestant Caesar และเผาเรือทิ้ง หลังจากที่ได้รางวัลมามากมายตลอดการเดินเรือในแถบ Caribbean เขาก็เดินเรือต่อไปยังตอนเหนือในฤดูใบไม้ผลิปี 1718 เขาก็มีเรือภายใต้บัญชาการมากมาย เรือ 4 ลำ ปืนใหญ่มากกว่า 60 กระบอกลูกเรืออีกกว่า 400 ชีวิต
ปิดล้อม Charleston เมืองมหาเศรษฐี
เมื่อเขาเดินเรือต่อไปยัง Charleston ซึ่งเป็นเมืองที่รวยที่สุดในบรรดาเมืองประเทศราชในเวลานั้น เขาก็เกิดคิดการใหญ่ขึ้นมาว่า เขาต้องการจะล้อมเมืองทั้งเมือง เมื่อคิดจึงต้องลงมือทำ ภายใน 1 สัปดาห์เขาสามารถปล้นเรือที่พยายามจะเข้าออกท่าเรือได้ถึง 9 ลำ ได้เงินมาทั้งหมด 1500 ปอนด์ และได้ตัวประกันมากมายรวมถึงได้ตัวสมาชิกสภาปกครองคนหนึ่งมาด้วย เมื่อได้เมืองตกอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว คำสั่งเดียวที่เขาสั่งออกไปคือ เขาต้องการหีบยา 1 หีบ ทำเอาผู้ว่าการของเมืองโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สูญเสียเรือที่ Beaufort Inlet
ในขณะที่เขาอยู่ที่ Charleston Thatch ก็ได้รู้เรื่องการมาของผู้ว่าการ Woodes Rogers ท่านผู้ว่าการออกจากอังกฤษมาพร้อมกับเรือรบลำใหญ่ (Man of war) จำนวนหลายลำ เพื่อมามอบสารพระราชทานอภัยโทษให้กับเหล่าโจรสลัด กองเรือของ Thatch จึงมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยังอ่าว Topsail (ปัจจุบันอ่าวนี้เป็นที่รู้จักกันในนามอ่าว Beaufort) แต่โชคร้ายที่เรือ Queen Anne’s Revenge ได้รับความเสียหายในขณะเข้าเทียบท่าใกล้ ๆ สันทราย Thatch พยายามสั่งให้เรือลำอื่น ๆ ของเขาช่วยกันดึงเรือ Queen Anne’s Revenge ขึ้นมา นอกจากเรือ Queen Anne’s Revenge ที่ติดสันทรายแล้วยังมีเรือ Adventrue ของลูกน้องคนสนิทของเขา Israel Hands ก็ติดสันทรายด้วยเช่นกันทำให้ได้รับความเสียหายมาก มีเรือเพียงสองลำเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหายอะไรนั่นคือเรือของ Stede Bonnet และเรือ sloop สัญชาติสเปนที่ถูกยึดไว้
ทอดทิ้ง Bonnet
ดังคำกล่าวที่ว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจรดูท่าจะเป็นจริง แม้ว่า Blackbeard และ Bonnet จะผ่านสมรภูมิด้วยกันมามากมายแต่พวกเขาก็หาได้เป็นเพื่อนแท้ต่อกันไม่ Blackbeard วางแผนพยายามพูดจาหว่านล้อม Stede Bonnet ให้พาลูกเรือของเขาบางส่วนเดินทางไปยังเมือง Bath เพื่อไปขอรับสารพระราชทานอภัยโทษที่เพิ่งจะมาถึงที่เมืองนี้ โดยมีผู้ว่าการ Charles Eden เป็นผู้รับเรื่อง (สารพระราชทานอภัยโทษมีให้แก่เหล่าโจรสลัดทุกคนที่ขอรับพระราชทานอภัยโทษก่อนวันที่ 5 กันยายน 1718 โดยมีเงื่อนไขว่าโจรสลัดผู้นั้นจะต้องไม่ได้กระทำการเป็นโจรสลัดก่อนช่วงวันที่ 5 มกราคม) อันที่จริงเป็นแผนของ Blackbeard เองที่ต้องการจะดูว่าท่านผู้ว่าการคนนี้จะไว้ใจได้แค่ไหน และเพื่อเป็นการพิสูจน์เขาจึงส่ง Bonnet ออกไปเพื่อดูท่าทีก่อน เมื่อได้สารพระราชทานอภัยโทษมา Bonnet ก็เดินเรือกลับไปยังอ่าว Beaufort เพื่อกลับมาเอาเรือ Revenge ของตนคืนและพาลูกเรือที่เหลือขึ้นเรือ โดยมีเป้าหมายจะเดินเรือต่อไปที่เกาะ Saint Thomas เพื่อไปรับค่าจ้างวานจาก Blackbeared แต่แล้วเขาก็ได้รู้ว่านี่เป็นกลอุบายของ Blackbeard เมื่อเขากลับไปยัง Beaufort ก็พบว่า Thatch ได้นำเรือออกไปแล้วพร้อม ๆ กับของมีค่าทั้งหลาย โดยทิ้งลูกเรือที่เหลือของเขาเอาไว้บนเกาะ Bonnet จึงพยายามออกตามล่าเพื่อแก้แค้น แต่ไม่ว่าจะพยายามตามหานานเพียงใดเขาก็ไม่ได้พบกับ Blackbeard อีกเลย และเขาก็กลับไปเป็นโจรสลัดอีก ก่อนจะถูกจับได้และถูกประหารชีวิตที่เมือง Charleston
นักเขียนท่านหนึ่่งนามว่า Robert Lee สันนิษฐานว่า การที่เรือของ Thatch และ Hands ติดสันทรายนั้นเป็นความตั้งใจของทั้งสองที่วางแผนจะลดปริมาณลูกเรือเพื่อลดสัดส่วนในการแบ่งเงินรางวัลลง
ติดตามตอนต่อไปคลิก >> Edward “Blackbeard” Thatch โจรสลัดเคราดำ ตอนที่ 3 (จบ)
แหล่งอ้างอิง (Reference) : wikipedia , about.com , republic of pirates , National Geographic , Assassin’s creed Under the Black flag Tumblr