สวัสดีค่ะ เจ้าของบล็อกมีประวัติโจรสลัดมาฝากอีกคนหนึ่งค่ะ คนนี้นักประวัติศาสตร์ยกย่องให้เป็นที่สุดแห่งที่สุดในหมู่โจรสลัดในยุค Golden Age of Piracy เลยค่ะ เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อโจรสลัดคนนี้เท่าใดนัก (เจ้าของบล็อกก็เพิ่งจะรู้จักหลังจากที่ได้อ่านประวัติโจรสลัดมาหลายคนแหละค่ะ) แต่ถ้าพูดถึงวีรกรรมแล้ว นับว่าเยอะกว่าโจรสลัดที่มีชื่อเสียงบางคนอีกค่ะ เพราะว่าสร้างวีรกรรมไว้เยอะดังนั้นประวัติก็จะยาวมาก เจ้าของบล็อกขอแบ่งออกเป็น 2 ตอนนะคะ หากเจ้าของบล็อกแปลผิดตรงไหนก็บอกได้นะคะ 😀
Bartholomew “Black Bart” Roberts โจรสลัดชาวเวลส์ เขาออกเดินเรือในแถบอเมริกาและอัฟริกาตะวันตกช่วงระหว่างปี 1719 ถึง 1722 เขาเป็นโจรสลัดที่ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในหมู่โจรสลัดในยุคนั้น เขาสามารถเข้ายึดเรือได้มากมาย ตัวเลขรางวัลที่ได้มากกว่าตัวเลขรางวัลของยอดโจรสลัดในยุคนั้นอย่าง Blackbeard, Edward Low, Jack Rackham และ Francis Spriggs รวมกันเสียอีก ในปัจจุบันเขาเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Black Bart (welsh: Barti Ddu) แต่ว่าชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อที่เขาถูกเรียกในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

Batholomew Roberts เกิดในปี 1682 ที่ประเทศเวลส์ ชื่อเดิมของเขาคือ John Roberts บิดาของเขาชื่อ George Roberts ไม่มีหลักฐานใดมายืนว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนชื่อจาก John มาเป็น Bartholomew แต่ว่าโจรสลัดส่วนใหญ่มักใช้ชื่อปลอมในการออกปฏิบัติการอยู่แล้ว อาจเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะได้ชื่อนี้มาจากอดีตโจรสลัดในตำนานอย่าง Bartholomew Sharp ก็ได้ มีบางรายงานกล่าวว่าเขาอาจจะออกทะเลตั้งแต่อายุ 13 แต่หลังจากนั้นบันทึกที่เกี่ยวกับตัวเขาก็หายไป
ในปี 1719 เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ช่วยต้นหน (หรือ Third mate) อยู่บนเรือค้าทาสลำหนึ่งชื่อ Princess เรือลำนี้บัญชาการโดย Cpt. Abraham Plumb ต้นเดือนมิถุนายนเรือ Princess ก็ได้เข้าเทียบท่าที่ Anomabu ซึ่งอยู่ในแถบฝั่งตะวันตกของอัฟริกา (ปัจจุบันคือประเทศกาน่า) เรือลำนี้ถูกโจรสลัดยึดได้ โดยเรือโจรสลัดที่เข้ายึดเรือลำนี้เป็นเรือของ Cpt. Howell Davis เขามีเรือภายใต้บัญชาการสองลำคือ Royal Rover และ Royal James Cpt. Davis เป็นชาวเวลส์เช่นเดียวกับ Roberts ลูกเรือของเรือ Princess ส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับโจรสลัดรวมทั้งตัว Roberts เองด้วย
Cpt. Davis พบว่า Roberts มีความสามารถในการนำทางเขาจึงถูกชักชวนให้มาช่วยนำทางให้กับ Cpt. Davis ในตอนแรก Roberts ยังลังเลที่จะเข้าร่วมการเป็นโจรสลัด แต่ภายหลังเขาก็ได้รู้ว่าการเป็นโจรสลัดจะได้รับผลประโยชน์มากมายเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมการเป็นโจรสลัดด้วย
สิ้น Captain Davis แต่งตั้ง Captain Black Bart
หลังจากนั้นประมาณสองสามสัปดาห์เรือ Royal James ก็ต้องถูกทิ้งเนื่องจากถูกหนอนกัดแทะ (Shipworms) เรือ Royal Rover เดินทางมาถึงเกาะ Principe ซึ่งเป็นเกาะที่เป็นเมืองประเทศราชภายใต้กษัตริย์โปรตุเกส Cpt. Davis จึงชักธงราชนาวีอังกฤษขึ้นมาทำให้พวกโจรสลัดสามารถผ่านเข้าไปยังท่าเรือได้ หลังจากนั้นสองสามวัน Cpt. Davis จึงได้เชิญผู้ว่าการของเมืองมารับประทานอาหารกลางวันกันบนเรือ โดยวางแผนหมายจะจับท่านผู้ว่าการเรียกค่าไถ่ เพื่อให้แผนบรรลุ Cpt. Davis จึงต้องส่งเรือออกไปเพื่อที่จะนำท่านผู้ว่าการออกมา Cpt. Davis ได้รับคำเชิญให้ไปร่วมดื่มไวน์กับท่านผู้ว่าการก่อน ทำให้พวกทหารโปรตุเกสได้รู้ว่าแขกผู้มาเยือนหาใช่ราชนาวีอังกฤษตามที่เข้าใจทีแรกไม่แต่เป็นโจรสลัดปลอมตัวมา ระหว่างทางที่ Cpt. Davis กำลังเดินทางไปยังที่พักของท่านผู้ว่าการเรือของเขาก็ถูกซุ่มโจมตี Cpt. Davis ถูกยิงเสียชีวิต
หลังจากการตายของ Cpt. Davis พวกลูกเรือจึงต้องทำการเลือกตั้งกัปตันเรือคนใหม่ ดูเหมือนว่า Roberts จะทำให้เหล่าโจรสลัดประทับใจได้มากเกินคาด หลังจากที่เขาเข้าร่วมการเป็นโจรสลัดได้เพียง 6 สัปดาห์ พวกลูกเรือก็แต่งตั้งให้เขาเป็นกัปตันเรือคนใหม่แทน Howell Davis ที่ถูกสังหาร Roberts เองก็คิดว่าหากวันหนึ่งเขาต้องกลายเป็นโจรสลัดเขาขอเลือกที่จะเป็นผู้บัญชาการดีกว่าเป็นแค่คนงานธรรมดา คำบัญชาการแรกของเขาคือสั่งให้โจมตีเมืองที่ Davis ถูกสังหารเพื่อเป็นการล้างแค้นให้อดีตกัปตันของพวกเขา พวกโจรสลัดเข้าโจมตีเมืองในยามดึกสงัดสามารถปล้นสะดมมาได้มากมายก่อนจะออกเดินทางต่อไปยัง Brazil
การเดินทางสู่ Brazil
พวกลูกเรือต่างไว้ใจในตัว Roberts มากเพราะว่าตั้งแต่ที่อยู่ภายใต้บัญชาการของเขา พวกโจรสลัดก็ได้รางวัลมามากมาย นอกจากนี้พวกลูกเรือยังพากันลงความเห็นว่ากัปตันเรือของพวกเขาคือ “เกราะกันกระสุน” (Pistol proof) เนื่องจากเขาไม่เคยถูกข้าศึกยิงเลยแม้แต่นัดเดียว

Cpt. Roberts และลูกเรือแล่นเรือไปยังชายฝั่งอเมริกาใต้เพื่อล่ารางวัล เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์พวกเขาก็ยังไม่พบอะไร แต่ในที่สุดพวกเขาก็พบกับขุมทรัพย์จนได้ พวกเขาพบกองเรือขนสมบัติมีเส้นทางการเดินเรือไปยังโปรตุเกสกำลังทอดสมอ เตรียมพร้อมจะออกเดินทางจาก All Saint’s Bay ทางตอนเหนือของ Brazil มีเรือ 42 ลำจอดเทียบท่าอยู่และมีเรือคุ้มกันอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเรือขนาดใหญ่ระดับ Man of War ที่มีปืนใหญ่กว่า 70 กระบอกอีก 2 ลำ Roberts แฝงตัวไปกับกลุ่มคาราวานของเรือเหล่านั้นเพื่อแอบขโมยเรือออกมาสักลำหนึ่งโดยไม่ให้ใครรู้ เป้าหมายของเขาคือเรือที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่ทอดสมออยู่ เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว เขาก็พาลูกเรือเข้าไปโจมตีเรือลำนั้นทันทีโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น Roberts ยึดเรือเป้าหมายได้สำเร็จและพาเรือหนีออกมา เรือคุ้มกันพยายามไล่ตามพวกโจรสลัดแต่ก็ไม่เป็นผล
กฎของโจรสลัด (Pirate code)
เรือ Rover ได้ล่องต่อมาทางเกาะปีศาจ (Devil’s Island) นอกชายฝั่งของ Guiana เพื่อที่จะหลบจากการถูกจับกุมสักพัก หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์พวกเขาก็พาเรือต่อไปยังแม่น้ำ Surinam และสามารถยึดเรือ sloop ได้ 1 ลำ และมีเป้าหมายจะยึดเรือเพิ่มอีกลำ เมื่อเรือเป้าหมายลอยลำเข้ามาอยู่ในระยะสายตาพวกเขาก็พาเรือ sloop ลำใหม่ออกไปไล่ล่าเรือ Brigantine ที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นโดยให้ Walter Kennedy เป็นผู้บัญชาการเรือ Rover แทนชั่วคราว การไล่ล่าเรือ Brigantine เป้าหมายลำนั้นล้มเหลว และใช้เวลานานเกินไป เมื่อพวกเขากลับมายังจุดนัดพบก็พบว่า Kennedy ได้พาเรือหนีหายไปแล้วพร้อมกับสมบัติทั้งหมดที่ได้มา Roberts และลูกเรือที่เหลือจึงตั้งชื่อเรือ sloop ลำใหม่ของพวกเขาว่า Fortune และตกลงกันว่าจะต้องร่างกฎขึ้นมา ซึ่งพวกโจรสลัดต้องสาบานต่อไบเบิ้ลว่าจะไม่ผิดกฎ กฎของโจรสลัด (Pirate code) มีทั้งหมด 11 มาตราซึ่งจับใจความได้ว่า (ขอแปลสั้น ๆ นะคะเพราะว่าแต่ละประโยคมันยาวจนชวนงง)
The Pirate Code of Captain Bartholomew Roberts
มาตราที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงที่เท่าเทียมกัน
มาตราที่ 2 ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งที่เท่ากัน หากผู้ใดแอบขโมยเงินรางวัลที่ได้ ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษโดยให้ลงจากเรือทันที และหากมีการปล้นกันเองเกิดขึ้น คนที่ปล้นจะต้องถูกตัดจมูกหรือหู และจะถูกนำไปปล่อยไว้บนฝั่ง
มาตราที่ 3 ห้ามเล่นการพนันทุกชนิดบนเรือ
มาตราที่ 4 ต้องดับเทียนและตะเกียงในเวลาสองทุ่ม หากมีลูกเรือคนไหนอยากดื่มในเวลากลางคืนให้ออกไปนั่งดื่มได้บนดาดฟ้าเรือโดยไม่ต้องจุดตะเกียง
มาตราที่ 5 ต้องเก็บรักษาและดูแลอาวุธ ดาบ และปืนพกให้สะอาดพร้อมใช้เสมอ
มาตราที่ 6 ห้ามเด็กและสตรีอยู่บนเรือ หากชายใดแอบนำพาสตรีขึ้นเรือแม้ว่าจะปลอมตัวมาก็ตามชายผู้นั้นอาจถึงฆาต
มาตราที่ 7 หากผู้ใดหนีทัพจะต้องถูกลงโทษโดยการถูกประหารชีวิตหรือถูกปล่อยเกาะ
มาตราที่ 8 ห้ามมีการทะเลาะเบาะแว้งและต่อสู้กันบนเรือแต่สามารถทำได้เมื่ออยู่บนบก การต่อสู้กันหากคู่ต่อสู้ใช้ปืนก็ต้องใช้ปืนเหมือนกัน หากใช้ดาบก็ต้องใช้ดาบเหมือนกัน การต่อสู้กันต้องมีรองกัปตันเป็นผู้ควบคุมด้วยทุกครั้ง ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้หลั่งเลือดได้ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ
มาตราที่ 9 ผู้ใดได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบหรือทำหน้าที่อยู่บนเรือจะได้รับเงินชดเชยตามความเหมาะสม
มาตราที่ 10 กัปตันและรองกัปตันจะได้รับส่วนแบ่งเป็น 2 เท่า ส่วนสรั่งเรือและผู้คุมปืนใหญ่จะได้คนละ 1.5 เท่า เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ จะได้รับคนละ 1.25 เท่า ส่วนลูกเรือที่เหลือจะได้คนละ 1 เท่า
มาตราที่ 11 นักดนตรีจะต้องเล่นดนตรีเมื่อได้รับการร้องขอ
ทั้งนี้กัปตันเรือแต่ละลำจะมีการตั้งกฏขึ้นมาเอง แต่ละคนจะมีกฏไม่เหมือนกัน
การปราชัยต่อกองเรือจาก Barbados

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1720 Roberts ได้โจรสลัดสัญชาติฝรั่งเศสนามว่า Montigny la Palisse มาเข้าร่วมกับกองเรือของเขาด้วย โดยโจรสลัดฝรั่งเศสใช้เรือ sloop ที่มีชื่อว่า Sea King แต่แล้วไม่นานกองกำลังติดอาวุธจาก Barbados ก็ได้ออกประกาศจับโจรสลัดที่เดินเรือในแถบนั้น มีเรือของนักล่าหัวโจรสลัดจาก Barbados ออกปฏิบัติการถึง 2 ลำคือเรือ Summerset และ เรือ Phillipa เหล่าโจรสลัดปะทะกับเรือของนักล่าโจรสลัดอย่างหนักหน่วงเรือ Sea King หลบหนีจากสมรภูมิไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงเรือ Fortune ของ Roberts ที่ต้องต่อสู้กับเรือของนักล่าโจรสลัดทั้งสองลำ เมื่อเห็นว่าไม่ได้การ Roberts จึงสั่งให้ถอยทัพ Roberts และลูกเรือพาเรือล่องไปยัง Dominica เพื่อซ่อมแซมเรือที่ได้รับความเสียหายจากการเข้าปะทะกับนักล่าโจรสลัดจาก Barbados ผลจากการสู้รบ Roberts สูญเสียลูกเรือไปถึง 20 คน นอกจากเรือติดอาวุธจาก Barbados แล้วยังมีเรือติดอาวุธอีก 2 ลำจาก Martinique ที่ออกตามล่าหัวโจรสลัดในแถบนั้นเหมือนกัน Roberts เจ็บใจที่พ่ายศึก เขาสาบานว่าจะล้างแค้นนักล่าโจรสลัดเหล่านั้นให้ได้ เขาจึงชูธงโจรสลัดอันใหม่เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาจะล้างแค้น บนธงมีรูปตัวเขายืนอยู่บนหัวกะโหลกสองอัน แต่ละอันมีข้อความอยู่ข้างใต้ว่า ABH (ย่อมาจาก A Barbadian’s Head) และ AMH (ย่อมาจาก A Martiniquain’s Head)
ความน่าสะพรึงกลัวของโจรสลัด
Roberts พาเรือ Fortune แล่นขึ้นเหนือไปยัง Newfoundland ยึดเรือมาได้หลายลำ จากนั้นก็พาเรือเข้าไปจู่โจมท่าเรือ Ferryland ยึดเรือสินค้ามาได้อีก 12 ลำ วันที่ 21 มิถุนายน เข้าจู่โจมที่ท่าเรือ Trepassey ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ พวกโจรสลัดเพียงแค่ชูธงดำเท่านั้นพวกลูกเรือที่อยู่ที่ท่าเรือแห่งนั้นพากันทิ้งเรือของพวกเขาและหนีไปทันทีโดยไม่มีการต่อต้าน Roberts ยึดเรือมาได้อีก 22 ลำ แต่เขาไม่พอใจพวกกัปตันของเรือผู้ขี้ขลาดที่ทิ้งเรือของตัวเองแล้วหนีไปโดยไม่ยอมต่อสู้ ทุก ๆ เช้าพวกกัปตันเหล่านั้นต้องถูกบังคับให้ไปขึ้นเรือของ Roberts หากกัปตันของเรือลำใดไม่ไปรายงานตัว เรือลำนั้นจะต้องถูกเผา มีเรือ Brigantine จาก Bristol ลำหนึ่งถูกถอดชิ้นส่วนเพื่อไปซ่อมเรือ Fortune และปรับให้เรือ Fortune มีปืนใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 16 กระบอก
ปลายเดือนมิถุนายนเหล่าโจรสลัดก็จากไป พวกเขาเผาเรือที่เทียบท่าอยู่ที่นั่นทิ้งทั้งหมด ในช่วงเดือนกรกฎาคม Roberts ยึดเรือสัญชาติฝรั่งเศสได้อีก 9 ลำ 1 ใน 9 ลำถูกถอดชิ้นส่วนเพื่อไปประกอบเพิ่มเติมให้กับเรือ Fortune โดยปรับให้เรือมีปืนใหญ่เป็น 26 กระบอกและเปลี่ยนชื่อเป็น Good Fortune ด้วยเรือทรงอานุภาพลำนี้ ทำให้พวกโจรสลัดสามารถปล้นเรือมาได้อีกจำนวนมากในเวลานั้น ก่อนที่จะล่องใต้ไปยัง west Indies และได้พบกับเรือของ Montigny la Palisse อีกครั้ง…
ยังไม่จบนะคะ ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ …>>> ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคริเบียน Bartholomew “Black Bart” Roberts ตอนที่ 2 จบ
แหล่งอ้างอิง (Reference) : Wikipedia , About.com , Thai seafearer , Elizabethan-era
อ่านประวัติโจรสลัดท่านอื่นเพิ่มเติมที่ List of Pirates and Pirate hunters
โอย…เป็นประวัติโจรสลัดอีกคนที่แปลเหนื่อยมาก มีศัพท์ที่เกี่ยวกับทางเรือเยอะมาก แถมด้วยกฎของโจรสลัดอีกตั้ง 11 ข้อ ประวัติยาวเชียว มีอะไรตรงไหนอยากให้เจ้าของบล็อกแก้ไข หรือจะแนะนำตรงไหนบอกมาได้เลยนะคะ 😀
อื้หือ แบบนี้ โจรสลัดคนนี้ก็เหมือนเป็นตำนานของโจรสลัดทุกคนเลยสิครับ แต่ตรงกฎโจรสลัดมีบางส่วนที่ทำให้ผมสงสัยอยู่ อย่างเช่น
กฎ ห้ามสตรีขึ้นเรือ แล้ว marry reed กับ anna bonny ละครับ?
กฎ ห้ามเล่นการพนันบนเรือ <<< ac3 นี่เต็มเรือเลย 😛 (ลืมไปว่าไม่ใช่เรือโจรสลัด)
หรือว่ากฎใช้เฉพาะเรือลำนี้เท่านั้นหว่า
ปล.โจรสลัดเด็กดีเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่มแหน่ะ =w=
กัปตันแต่ละคนจะมีกฏไม่เหมือนกันค่ะ แต่ว่านักเดินเรือในสมัยนั้นมีความเห็นตรงกันเรื่องห้ามนำผู้หญิงขึ้นเรือเพราะเชื่อว่าจะนำโชคร้ายมาให้ค่ะ โดยตัวอย่างคือ Calico Jack ที่แอบนำสองสาว Mary Read และ Anne Bonny ขึ้นเรือทำให้ต้องพบกับจุดจบนั่นแหละค่ะ
แต่ตามความเห็นเจ้าของบล็อกนะคะ ต่อให้ไม่พาผู้หญิงขึ้นเรือโจรสลัดดัง ๆ หลาย ๆ คนก็มีจุดจบที่ไม่ค่อยจะดีพอ ๆ กันหมดเลย
ถ้าอิงความเชื่อช่วงนั้นคิดว่าที่ไม่ให้ผู้หญิงขึ้นเรืออาจเป็นเพราะสมัยนั้นดูถูกผู้หญิงว่าอ่อนแอ ไม่มีกำลังก็เป็นได้ แต่ความเชื่อพวกนี้อาจไม่สามารถครอบคลุม Mary Read และ Anne Bonny
ได้แน่ๆ =_=
โอ้ พึ่งรู้ว่า bartharomew อยู่ในเกมด้วย :O
แถมมาซะแบบว่า…ไม่รู้จะบรรยายยังไงเลย
ตัวโกงของเกมเลย 555