เกม Assassin’s creed อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง เรื่องราวของ Assassin’s creed ที่ผ่าน ๆ มาถูกเล่าผ่านตัว Desmond Miles อดีตบาร์เทนเดอร์ผู้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากำลังกุมชะตากรรมโลกอยู่ จนมาถึงตอนนี้เนื้อเรื่องใน Assassin’s creed IV จะยังคงให้ความสำคัญกับครอบครัว Kenway เป็นหลัก Black flag เสมือนเป็นสะพานเชื่อมต่อเรื่องราวของ Assassin’s creed (รวมทั้งเป็นสะพานเชื่อมโยงของเกมใน console ยุคเก่าไปสู่ยุคใหม่ด้วยเช่นกัน)

ทางเว็บไซต์ Gamesradar ได้สัมภาษณ์สองนักเขียนเนื้อเรื่องจาก Assassin’s creed คุณ Darby McDevitt ที่ได้รับหน้าที่ให้เขียนบทของภาค 4 และคุณ Corey May ผู้เขียนบทของภาค 3 ซึ่งเขาจะมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงความเชื่อมโยงกันของ Assassin’s creed ทั้งสองภาค รวมทั้งเนืื้อเรื่องในส่วนของปัจจุบันด้วย

แก่นของเนื้อเรื่องหลัก ๆ ของ Assassin’s creed ทุก ๆ ภาคต้องเป็นการนำเอาประวัติศาสตร์มาเล่าใหม่ แน่นอนว่าเมื่อเกมมีการสร้างภาคใหม่คำถามแรกที่จะตามมาคือ “เรื่องราวภาคต่อไปจะเกิดขึ้นที่ไหน และ เมื่อไร” เนื้อเรื่องในภาค 4 นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในภาค 3 โดยมี Edward Kenway โจรสลัด และบิดาของ Haytham Kenway เป็นผู้ดำเนินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคนี้ สิ่งแรกที่เราสังเกตเห็นในภาคนี้คือ ภาคนี้เน้นไปที่การต่อสู้เป็นหลัก ทำให้เราอดสังสัยไม่ได้ว่า นั่นหมายความว่า Assassin’s creed เริ่มที่จะทำเนื้อเรื่องโดยไม่อิงกับความถูกต้องตามประวัติศาสตร์แล้วหรือ ?

“ไม่เลย เรายังคงให้ความสำคัญอยู่เสมอนะ” คุณ Darby McDevitt อธิบาย “ในตอนที่เรากำลังพัฒนาเกมอยู่นั้น ทางเราได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากมาย แล้วเราก็มาเลือกว่า ประวัติศาสตร์ยุคไหนที่เหมาะสมในการจะนำมาทำเกมเพลย์บ้าง โดยที่สูญเสียความลงตัวไปน้อยที่สุด หากว่าเรายึดติดประวัติศาสตร์เข้ามามากเกินไปจะทำให้ระบบเกมเพลย์มันไม่สนุก อย่างเช่นตามประวัติศาสตร์จริง ๆ แล้ว พวกโจรสลัดไม่ได้สู้รบเท่าไร พวกเขาก็แค่ข่มขู่ผู้คนเพื่อให้ยอมยกสิ่งของและทองให้เท่านั้นเอง ตอนแรกเรามีความคิดเกี่ยวกับเรื่อง จะทำอย่างไรเพื่อจะข่มขู่ให้ผู้คนกลัวได้  แต่แล้วเราก็พบว่าการทำอย่างนั้นมันยากเกินไป เราได้ใส่เอาความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคโจรสลัดเอาไว้มากมายเลย เรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์นั้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญในเกมของเรา”

“ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเริ่มยิงปืนก่อนในสงครามปฏิวัติอเมริกา และนั่นก็เป็นประโยชน์สำหรับเกม Assassin’s creed 3 ของเรา”

“หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นอยากจะค้นหาเรื่องราวเหล่านี้เพิ่มเติม” คุณ Corey May กล่าวเสริม “มี Facebook group อันหนึ่งใช้ชื่อว่า ‘Everything I learned about History, I learned from Assassin’s creed’ มันน่ารักมากเลย แล้วมันก็น่าตกใจเล็กน้อย เรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นแรงบันดาลใจให้เกมของเรา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเกมของเราเป็นสารคดีแบบตอบโต้ได้หรอกนะ แน่นอนว่าเราไม่อยากจะเล่นเร็วเกินไปจนทำให้ประวัติศาสตร์มันไม่สมจริง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่เห็น George Washington กินเด็ก และขี่ม้าเพกาซัสใน AC3  มีสิ่งที่เราเองก็ไม่อยากจะทำเลยนั่นคือการนำเอานิยายมาปะปนกับประวัติศาสตร์”

คุณ May เสริมต่อ “เราใช้ประโยชน์จากความคลุมเคลือที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ อย่างเช่นใน Assassin’s creed 3 ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนในประวัติศาสตร์ช่วงปฏิวัติอเมริกา เราเลยมาเล่นกับจุดนี้ ซึ่งมีฉากที่ผู้คนต่างถกเถียงกันเรื่องฝ่ายไหนกันแน่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ (loyalist) หรือฝ่ายพวกผู้ปฏิวัติ (revolutionary) และใครที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่อมองย้อนกลับไปจะพบว่าฝ่ายผู้ปฏิวัติไม่ต้องการให้มีใครคิดว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน เพราะว่าพวกเขาไม่อยากถูกแขวนคอหากปฏิวัติไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะอ้างได้ว่าทำไปเพราะปกป้องตนเอง บางครั้งประวัติศาสตร์เองก็มีความไม่แน่นอน เราจึงใช้ประโยชน์ได้จากจุดนี้”

Assassin’s creed สร้างความประทับใจให้ผู้เล่นผ่านตัวละครได้เสมอ มีตัวละครเอกมากมาย บางคนก็เป็นที่รัก บางคนก็เป็นที่ชัง แต่ละคนจะมีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน หลาย ๆ คนไม่ค่อยพอใจ Connor เนื่องจากเขาเป็นคนเถรตรง (ทื่อ และ ทึ่ม) ไม่เหมือนอย่าง Ezio หรือ Haytham คุณ Corey May กล่าวว่า “เรื่องสนุกที่สุดที่เกี่ยวกับ Haytham คือ เขาไม่เหมือน Connor มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากในการเขียนตัวละครทั้งสองให้ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าการเขียนเรื่องราวของใครสักคนที่เหมือนกับ Haytham นั้นมันง่ายกว่ามาก เพราะว่าเขาเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดีไปหมดทุกเรื่อง Connor เป็นคนคิดหน้าคิดหลังและรอบคอบ เขาไม่ใช่คนที่มีลักษณะแบบคนในจินตนาการ นี่จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายทีเดียว”

“ผมอยากให้เรื่องของคนตระกูล Kenway ดูเหมือนเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้อยู่ด้วยกันเลยก็ตาม”

ในภาค 4 เนื้อเรื่องดำเนินโดย Edward Kenway ซึ่งเป็นปู่ของ Connor ซึ่งเนื้อเรื่องทั้งสองภาคมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ และมีจุด Easter Eggs สองสามจุดให้ค้นหา “ผมได้นำเอาบทร่างของคุณ Corey ใน AC3 มาใช้และทดลองเล่นตัวต้นแบบของเกม เพื่อที่จะได้เขียนเรื่องราวของ Edward ออกมา” คุณ McDevitt อธิบาย “ผมอยากให้คนเหล่านี้ดูเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้อยู่ด้วยกันเลยก็ตาม Edward จาก Haytham ไปตั้งแต่ตอนที่ Haytham เพิ่งจะอายุได้เพียง 10 ขวบ พวกเขาจึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าสนุกที่จะนำเสนอเรื่องของคนทั้งสามคนตามลักษณะเฉพาะของตัวเอง Edward มีส่วนคล้าย Connor อยู่บ้างนั่นคือ ความเห็นอกเห็นใจคนอื่นและใจดี และเขาก็ยังมีความบ้าระห่ำแบบ Haytham ด้วย”

ผู้เขียนบททั้งสองพยายามจะหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเรื่องราว แต่ก็ยืนยันได้ว่าเกมทั้งสองภาคมีจุดเชื่อมโยงกันจริง “เราได้สร้างจุดเชื่อมโยงไว้บ้าง แต่ว่าผมคงบอกอะไรไม่ได้มาก” คุณ May กล่าว “มีเรื่องราวส่วนหนึ่งใน AC3 ที่ถูกนำไปอ้างอิงใน Black flag ขณะที่เล่นเกมในภาค 3 ถ้าหากว่ามีคนสังเกตเห็นล่ะก็มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลย ตัวละครเหล่านี้อยู่ในโลกเดียวกัน ดังนั้นมันจึงมีการเชื่อมโยงถึงกัน”

Assassin’s creed 3 เล่าเรื่องผ่านเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ส่วนในภาค 4 นั้นเรื่องที่ดูจะเป็นประเด็นมากนั่นคือการค้าทาส ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวต่อตลาดวงการบันเทิงขนาดใหญ่ คุณ McDevitt ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ออกมาว่า “เรื่องของการค้าทาสมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในเกมนี้ เรามีเรื่องของการเพาะปลูกในเกมด้วย และมีตัวละครคนหนึ่งในเกมที่เคยเป็นทาสมาก่อนที่จะเริ่มเรื่องใน Black flag เมื่อหลายปีก่อนที่พวกเขาพบกัน Edward ก็ไม่ได้ปล่อยให้ทาสผู้นั้นหลุดพ้นจากสัญญาทาส พวกเขารู้จักกันและแบ่งปันเรื่องราวแก่กัน Edward ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งนี้เท่าไร เขาคิดว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิตเท่านั้น”

“สิ่งที่ผมพยายามทำใน Black flag คือการวางรากฐานของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ว่าไม่มีฉากไหนในเกมแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งหรอก” คุณ McDevitt กล่าว “มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในเกมที่อยู่ในกระแสหลัก ผมคิดว่าเราเองก็ตรงไปตรงมากับเรื่องนี้ และพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของผู้คนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ผมไม่อาจจะเขียนเรื่องการล้มเลิกการค้าทาสได้หรอกเพราะว่านั้นไม่ตรงกับในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามทั้ง Assassin และ Templar เองต่างอยู่ในฝั่งของการล้มเลิกการค้าทาส หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ยากในการรับมือ ผมหวังว่าผมจะทำมันออกมาให้ดูน่าสนใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมไม่อยากรู้สึกว่าติดค้างเรื่องอะไรอยู่”

มาพูดถึงเรื่องราวในส่วนของปัจจุบันกันบ้าง เราอยากรู้ว่าในภาค 4 Black flag จะจัดการกับเนื้อเรื่องในส่วนของยุคปัจจุบันได้อย่างไร เพราะว่า Desmond ก็จากไปแล้ว และโลกก็ไม่ได้ดับสลายด้วยในปี 2012 เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากแผนการณ์ของ First civilization ที่แอบกระทำการอยู่ลับ ๆ หรือว่าเราจะได้เจอคนอย่าง Juno กับ Minerva เพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า “แน่นอนว่า Juno กำลังดำเนินการอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่” คุณ McDeviitt เสริม “เราเปลี่ยนวิธีการในการเข้าถึงเรื่อง นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับเราเองและแฟน ๆ เกมของเราที่จะให้เนื้อเรื่องในโลกของปัจจุบันมีตอนจบที่เปิดกว้าง เราอยากให้ Assassin’s creed เป็นสิ่งที่ดูใกล้ตัวมากขึ้นทั้งในส่วนของปัจจุบันและอดีต เนื้อเรื่องใน Black flag มีทั้งส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนสุดท้ายของเนื้อเรื่องทั้งในส่วนของโลกอดีตและปัจจุบัน แต่ว่ามันจะรู้สึกได้ว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ทั้งหมดใน Assassin’s creed เท่านั้น เป็นเพียงแค่ตอนตอนหนึ่งในขอบเขตของเนื้อเรื่องทั้งหมดเท่านั้น”

ดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องในยุคปัจจุบันจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ มุมหนึ่งในเนื้อเรื่องส่วนของ Desmond ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะเปิดกว้างเท่าไร ในขณะที่เรากำลังอยู่ในหัวข้อของเรื่องราวในปัจจุบัน ก็ช่วยไม่ได้ที่เราอยากจะถามถึงเรื่องของ Assassin’s creed ฉบับภาพยนตร์ “เราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงเรื่องนั้นครับ” นักเขียนทั้งสองพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

“คุณจะได้รับ email จำนวนหนึ่งที่กล่าวถึงกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอยู่จาก Abstergo ไปยังสำนักงานที่ Ubisoft Montreal”

ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเราเปลี่ยนหัวข้อของคำถามมาที่ ทำไมในเนื้อเรื่องยุคปัจจุบัน บริษัท Abstergo Industries ถึงได้มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ Montreal กันล่ะ ซึ่งสถานที่นี้เป็นที่ตั้งของบริษัท Ubisoft ที่ผลิตเกม Assassin’s creed ออกมาทุกปี ๆ “ฮา ๆ ผมไม่ได้จะกล่าวถึง Ubisoft เลยนะ” คุณ McDevitt ขำออกมา “เหตุผลแรกคือเรื่องราวทั้งหมดถูกสร้างที่ Montreal ผมรักเมืองนี้และผู้คนที่นี่ช่วยให้ผมได้ทำงานที่นี่และอาศัยอยู่ที่นี่ ผมแค่อยากจะแบ่งปันส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นให้กับทุก ๆ คน และอีกเหตุผลหนึ่งนั่นคือ ย้อนกลับไปยังแคริเบียน ที่แคริเบียนเป็นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มันจึงเหมาะพอดีกับสถานที่ในยุคปัจจุบัน(หมายถึง Montreal) ที่เป็นเมืองที่มีผู้คนต่างคนต่างภาษามากมายที่นี่ เป็นการแสดงความขอบคุณผู้คนที่ผมได้ทำงานด้วยที่นี่ มันก็เลยเป็นเรื่องตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับ Ubisoft คุณจะได้รับ email ที่เป็น easter egg ที่กล่าวถึงกลุ่มคนที่กุมบังเหียนอยู่เบื้องหลังของ Ubisoft และอะไรประมาณนั้น แต่ว่าเพื่อความกระจ่าง ตึกที่ทำงานของ Abstergo กับ Ubisoft เป็นคนละตึกกันนะ”

คำถามสุดท้ายที่เราอยากรู้นั่นคือ แล้วไหนล่ะ Assassin’s creed ยุค Victorian ใน London เรื่องนี้ยังไม่มีเค้าลางขึ้นมาเลย สาบานเลยว่าเราได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ ถ้าหากว่าไม่ใช่ London แล้วต่อไปจะเป็นสถานที่ไหนล่ะ ในเมื่อเนื้อเรื่องต่อไปทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับพวกเขา

“ผมบอกเสมอว่าผมชอบบทประพันธ์จากไอร์แลนด์ ผมเองก็อยากจะสร้างสักตอนหนึ่งในประเทศไอร์แลนด์” คุณ McDevitt กล่าว “แต่ว่าพวกเขาคงไม่ฟังผมหรอกจนกว่าผมจะเขียนบทให้เกมเสร็จสักแปดบทไปแล้ว ซึ่งดูแล้วก็คงจะไม่น่าจะเป็นไปได้แล้วล่ะ ฮา ๆ มันพูดยากนะ ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”

คุณ May ตอบแบบเลี่ยง ๆ ว่า “ผมมีรายชื่อของสถานที่ทั้งหมดในเกม Assassin’s creed ยาวเหยียดเลยล่ะ แต่ว่าผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ผมสนใจที่สุดจะถูกสร้างขึ้นมาหรือไม่ สิ่งที่ผมรู้คือในอนาคตอันใกล้นี้จะมีเกมที่สุดยอดเกมหนึ่งปรากฏออกมานั่นคือ Assassin’s creed IV Black flag ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งผู้คนควรจะสั่งจองเกมนี้จากตัวแทนจำหน่ายได้แล้ว ต่อจากนั้นผมก็ยังไม่รู้อะไรอีกนะ ไม่มีทางรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรอก” เขากล่าวทิ้งท้าย

Assassin’s creed IV Black flag จะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนเครื่อง Next gen อาจจะเป็นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเราน่าจะได้เห็นภาพ ความสวยงามของเกมได้มากขึ้นซึ่งต้องขอบคุณเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้ภาพออกมาสวยงามสมจริงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่ตอนนี้นักเขียนบททั้งสองก็ยังคงนั่งเงียบไม่ยอมเปิดเผยเรื่องใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกเลย

แหล่งอ้างอิง (Reference) : Gamesradar